[Manga Review] Alexandrite มังงะจากยุค 90 ที่ก้าวนำเทรนด์ต่างๆ ไปเยอะมาก

Alexandrite

(Narita Minako, 1991-1994, 7 เล่มจบ โดยวิบูลย์กิจ)

รอบนี้มาเขียนถึงมังงะเก่าหน่อย เพราะผมเพิ่งหยิบเรื่องนี้มาอ่านเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว แต่นี่คือหยิบเวอร์ชั่นญี่ปุ่นมาอ่านเป็นครั้งแรก แต่เวอร์ชั่นไทยคือผมอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ เป็นมังงะในหมวดโชโจ หรือมังงะเด็กผู้หญิงที่ผมอ่านตั้งแต่สมัยเด็กๆ และเรียกได้ว่ารักระดับๆ ท๊อปๆ ของมังงะในดวงใจเลย

Alexandrite เป็นมังงะสปินออฟจากเรื่อง Cipher ผลงานสร้างชื่อของ Narita Minako ในยุค 80 ซึ่งรอบนี้เอาตัวละครเสริม Alexandra Levine หนุ่มเลือดผสม ผมเดรด ที่เป็นเพื่อนของ ศิวะ หรือ Jake Rang รองตัวเอกจากเรื่องก่อน มาเป็นตัวเอกเดินเรื่องในภาคนี้ โดยเป็นเรื่องราวของ อเล็ก และ เจค ในรั้วมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก ซึ่งเปิดเรื่องมา อเล็ก ก็ได้แหวนที่มีพลอย Alexandrite หรือ พลอยสามสี จากแม่ของตัวเอง ซึ่งเป็นแหวนที่สืบทอดมาในครอบครัวทางพ่อของอเล็ก แต่พ่อของอเล็กคือหายตัวไปตั้งแต่เขายังไม่เกิด และแม่เขาก็เลี้ยงเขามาคนเดียวก่อนที่จะแต่งงานใหม่ พอเจคได้ทราบเรื่องราวของแหวน ก็เลยตีความว่า แม่ของอเล็กอยากให้เขาหาคนที่เหมาะสมเพื่อแต่งงานได้แล้วเพราะตอนนี้เขาก็อายุจะ 20 แล้ว

เลยเป็นที่มาว่า อเล็กชอบใครอยู่ ซึ่งก็เปิดตัวอย่างไวว่าคือ Ambrosia Hart หญิงสาวมาดเท่ เพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กที่เขาชอบมาตลอด แต่เพราะความที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ทั้งสองก็มีความสัมพันธ์แบบแปลกๆ จะเป็นแฟนกันก็ไม่ใช่ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองง่ายๆ และกว่าจะรู้ว่าชอบอีกฝ่ายก็เป็นเรื่องวุ่นไปกันใหญ่

ในขณะเดียวกัน อเล็กก็ต้องสู้กับปมในใจตัวเองหลายเรื่อง ทั้งการต้องการยอมรับจากคนรอบตัว เพราะเขาเองโตมากับแม่สองคนก่อนที่แม่จะแต่งงานใหม่และมีน้องทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว ในขณะเดียวกันเพราะหน้าตาที่หวานกว่าผู้หญิงทำให้เขามักจะถูกเข้าใจว่าเป็นผู้หญิงอยู่บ่อยๆ รวมไปถึงความพยายามในการตามหาพ่อที่แท้จริงของตัวเองที่หายไป

ส่วนนึงที่ทำให้ผมชอบเรื่องนี้เอามากๆ คงเป็นเพราะมันเป็นเรื่องราวของชีวิตนักศึกษาอเมริกันในช่วงปี 1989 ซึ่งผมมองว่าเป็นช่วงที่วัฒนธรรมพ๊อพของฝั่งอเมริกามีพลังสูงสุดๆ ทั้งฮอลลีวู้ดที่ครองตลาดไปทั่วโลก และ MTV ที่สร้างเทรนด์นำสมัย แถมเป็นช่วงปลายของสงครามเย็นทีกำลังจะเป็นชัยชนะของโลกเสรีในตอนนั้น ทำให้ทุกอย่างดูใส่เต็มสูบมาก ทั้งเพลง แฟชั่น การใช้ชีวิต ดูแล้วมีเสน่ห์จริงๆ แถมภาพก็วาดออกมาได้สวยจริงๆ ตัวเอก

สำหรับเด็กน้อยต่างจังหวัดในยุคนั้นแบบผม นิวยอร์กคือสิ่งที่ไกลตัวมากๆ และนิวยอร์กในมังงะเรื่องนี้คือมาจากมุมมองของนักศึกษามหาวิทยาลัยระดับไอวี่ลีกอย่างโคลัมเบีย มันเลยดูน่าหลงไหลเอามากๆ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนี่เล่นเอาอิจฉาเลยล่ะครับ มันดูมีอะไรน่าสนุกเยอะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวมหาวิทยาลัยที่จำลองออกมาได้สวยมาก และกิจกรรมต่างๆ ในมหาวิทยาลัย จากมุมมองของเด็กแบบผมแล้วมันคือชีวิตวัยรุ่นแบบในฝันเลยล่ะครับ

อีกส่วนที่ผมชอบคือตอนที่ตัวเอกมาเยี่ยมเพื่อนในญี่ปุ่น เพราะมาอ่านตอนนี้แล้วได้เห็นมุมมองของคนญี่ปุ่นที่มองญี่ปุ่นผ่านสายตาคนต่างชาติในตอนนั้นก็น่าสนใจเอามากๆ เพราะในเรื่องคือญี่ปุ่นในปี 1989 ที่เป็นช่วงปลายยุคโชวะ และก่อนที่ฟองสบู่จะแตก ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่จัดว่าแพงต่อคนต่างชาติ และเงินเยนก็แข็งเอาเรื่อง พอโตมาก็ค่อยดูออกว่าตัวเอกพักที่โรงแรมไหน ไปเที่ยวไหนบ้าง ลองคิดดูว่าถ้าเป็นนักศึกษาอเมริกันมาเที่ยวญี่ปุ่นในตอนนั้นก็คงไม่แปลกที่จะใช้เงินเก็บจนหมดตัวได้ง่ายๆ นะครับ แถมคนเขียนยังวิจารณ์สังคมญี่ปุ่นในยุคนั้นได้น่าสนอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไม่กล้ายุ่งกับคนต่างชาติ การลวนลามในรถไฟ หรือภาพสังคมที่ดูสะอาดสะอ้านแต่จริงๆ ก็มีคนไร้บ้านอยู่

ส่วนเรื่องหนึ่งที่อ่านตอนเด็กแล้วยังไม่เข้าใจมาก แต่โตมาแล้วเข้าใจคือ ในเรื่องมีการพาดพิงถึงการรัฐประหารสองครั้ง คือ ในอูกันดา และในกรีซ ซึ่งส่วนหลังก็กลายมาเป็นส่วนสำคัญของเรื่องอีกด้วย ตอนที่ผมอ่านตอนเด็กๆ ก็ไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่ครับ ถึงตอนนั้นจะคาบเกี่ยวกับช่วงรัฐประหาร รสช. และพฤษภาทมิฬ แต่ยังไม่รู้อะไรมากนัก รู้แต่ว่ามันไม่ดี (และถ้าจำไม่ผิด ฉบับแปลไทยใช้คำว่า ปฎิวัติ แทนที่จะเป็นรัฐประหารนะครับ)

อีกเรื่องที่ตอนเด็กผมไม่เคยนึกถึงมาก่อน แต่พอโตมาแล้วได้อ่านอีกทีค่อยรู้สึกว่า นี่เป็นมังงะที่เน้นเรื่องสตรีทแฟชั่นแบบจ๋าๆ เลยล่ะครับ เสื้อผ้าของตัวละครในเรื่องคืออกแบบได้เก๋แบบเอามาใส่ยุคนี้ก็ยังเท่อยู่ดี แถมเสื้อยืดของอเล็กนี่มาจากดีไซน์จริงๆ และมีเสื้อวงดนตรีเก๋ๆ หลายตัวเลยล่ะครับ แล้วก็เป็นช่วงก่อนที่ Nike จะครองโลก ทำให้รองเท้าของตัวเอกเป็นรองเท้าบาสของ Converse สวยๆ หลายคู่เลย (แน่นอนว่าผมเองก็พยายามหาใส่ตาม แต่ยุคนั้นคือ Converse ในไทยคือไม่ได้เน้นรองเท้าบาสไปซะแล้วครับ) อ่านตอนนี้แล้วเข้าใจเลยว่าอาจารย์นาริตะทำการบ้านดีมากๆ และเป็นคนที่ชอบวัฒนธรรมพ๊อพของอเมริกามาก ชื่อตอนแต่ละตอนก็เป็นชื่อเพลงดังในยุคนั้นอีก แถมตัวละครหลายตัวก็ดูออกเลยว่าเอาแบบมาจากนักบาสในยุคนั้นชัดๆ

แม้เนื้อเรื่องช่วงต้นๆ จะดูเป็นเรื่องราวชิลๆ รัวมหาวิทยาลัย ไม่มีอะไรมาก แต่จริงๆ ธีมของเรื่องคือการค้นหาตัวเองและเอาชนะปมในใจ ผมเองตอนแรกที่ได้อ่านเพราะพี่สาวเช่ามาอ่าน ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าถูกดึงดูดเข้าสู่โลกของมังงะเรื่องนี้จนติดชนิดที่พอวิบูลย์กิจซื้อลิขสิทธ์ิมาทำขาย ผมเป็นคนซื้อเรื่องนี้เก็บไว้อย่างดี และอ่านวนไปวนมาจนจำเรื่องได้ขึ้นใจเลยทีเดียว ตอนนี้คิดว่าถ้าใครสนใจหาอ่านต้องลองดูร้านเช่าเก่าๆ หน่อย หรือว่าลองหามือสองครับ เพราะยังไม่มีตีพิมพ์ใหม่ ผมเพิ่งเห็นว่าปี 2019 SIC เอาเรื่อง Cipher มาพิมพ์ใหม่ ก็น่าจะเอาเรื่องนี้มาทำด้วยนะครับ จะได้ครบเรื่องราวของซีรีส์นี้แบบเต็มๆ แต่ถ้าใครมีโอกาสนี่แนะนำจริงๆ ครับ

หมายเหตุ มีเรื่องนึงที่เล่นเอาอึ้งไปหน่อยคือ มาอ่านเวอร์ชั่นญี่ปุ่นคือรู้ว่า ตัวเอกชื่อ Levine ที่อ่านแบบญี่ปุ่นเป็น เลไวน์ (จริงๆ น่าจะ เลอไวน์) レヴァイン แต่ฉบับแปลไทยดันแปลเป็น เลวิน ไปซะงั้น โดยชื่อ Levine แบบสะกดภาษาอังกฤษนี่โผล่ในเรื่องแค่รอบเดียว แล้วด้วยความเด็กผมก็ไม่ได้คิดอะไร พอได้อ่านตอนโตค่อยรู้ว่า ที่แปลไทยเขาถอดเสียงผิดนี่นา